โรคตับแข็งจากการดื่มแอลกอฮอล์

โรคตับแข็งเป็นภาวะที่ตับเกิดความเสียหายและเกิดพังผืดขึ้นจนทำให้การทำงานของตับลดลง ซึ่งหนึ่งในสาเหตุสำคัญของโรคนี้คือการดื่มแอลกอฮอล์เป็นเวลานาน ในบทความนี้เราจะมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคตับแข็งจากการดื่มแอลกอฮอล์ตั้งแต่สาเหตุ อาการ การรักษา และแนวทางป้องกัน

แอลกอฮอล์กับตับ: กลไกของความเสียหาย

ตับเป็นอวัยวะสำคัญที่ช่วยในการขจัดสารพิษออกจากร่างกาย รวมถึงการเผาผลาญแอลกอฮอล์ที่เราดื่มเข้าไป เมื่อเราดื่มแอลกอฮอล์ ตับจะต้องทำงานหนักเพื่อย่อยสลายและขจัดแอลกอฮอล์ออกจากร่างกาย แต่ถ้าหากมีการดื่มอย่างต่อเนื่องและในปริมาณมาก ตับจะได้รับความเสียหายจนเกิดการอักเสบและเกิดพังผืดขึ้นในเนื้อตับ เมื่อเวลาผ่านไป พังผืดจะสะสมมากขึ้นจนตับไม่สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ และนำไปสู่ภาวะตับแข็งในที่สุด

อาการของโรคตับแข็ง

โรคตับแข็งในระยะแรกอาจไม่มีอาการที่ชัดเจน แต่เมื่อโรคดำเนินไปสู่ระยะที่รุนแรงขึ้น ผู้ป่วยอาจมีอาการดังนี้:

  1. อ่อนเพลียและเหนื่อยง่าย – เนื่องจากตับไม่สามารถเผาผลาญพลังงานได้เต็มที่
  2. น้ำหนักลดและเบื่ออาหาร – การทำงานของตับที่ผิดปกติส่งผลต่อระบบย่อยอาหาร
  3. ตัวเหลืองและตาเหลือง (ดีซ่าน) – เกิดจากการสะสมของสารบิลิรูบินในร่างกาย
  4. ท้องโต (น้ำในช่องท้องหรือท้องมาน) – เกิดจากความดันในเส้นเลือดดำพอร์ทัลสูงขึ้น
  5. เลือดออกง่ายและมีจ้ำเลือดตามตัว – เนื่องจากตับไม่สามารถผลิตโปรตีนที่ช่วยในการแข็งตัวของเลือดได้
  6. เส้นเลือดขยายที่หลอดอาหารและกระเพาะอาหาร – อาจทำให้เกิดเลือดออกภายในอย่างรุนแรง
  7. สมองสับสนและมึนงง – เนื่องจากตับไม่สามารถขจัดสารพิษออกจากร่างกาย ทำให้เกิดภาวะสมองเสื่อมจากตับ

การวินิจฉัยโรคตับแข็ง

แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคตับแข็งได้โดยใช้วิธีต่าง ๆ เช่น:

  • การตรวจเลือด เพื่อตรวจหาค่าการทำงานของตับ เช่น
    • AST (Aspartate Aminotransferase) ค่าปกติอยู่ที่ 10-40 U/L หากสูงเกินไปอาจบ่งชี้ถึงความเสียหายของตับ
    • ALT (Alanine Aminotransferase) ค่าปกติอยู่ที่ 7-56 U/L การเพิ่มขึ้นของค่า ALT มักเกิดจากโรคตับอักเสบหรือภาวะตับแข็ง
    • ALP (Alkaline Phosphatase) ค่าปกติอยู่ที่ 30-120 U/L หากสูงอาจเป็นสัญญาณของภาวะน้ำดีอุดตันหรือโรคตับแข็ง
    • บิลิรูบิน (Bilirubin) ค่าปกติของบิลิรูบินรวมอยู่ที่ 0.1-1.2 mg/dL หากค่าสูงขึ้น อาจทำให้เกิดภาวะดีซ่าน
    • อัลบูมิน (Albumin) ค่าปกติอยู่ที่ 3.5-5.0 g/dL หากลดลง อาจบ่งชี้ถึงการทำงานของตับที่ลดลง
    • ค่าโปรธรอมบินไทม์ (Prothrombin Time – PT) ค่าปกติอยู่ที่ 11-13.5 วินาที หากยาวนานขึ้นอาจแสดงถึงความสามารถในการแข็งตัวของเลือดที่ลดลงเนื่องจากตับเสียหาย
  • อัลตราซาวด์ช่องท้อง เพื่อดูขนาดและลักษณะของตับ
  • เอลาสโตกราฟี (Elastography) เป็นเทคนิคพิเศษที่ช่วยประเมินความแข็งของเนื้อตับ
  • การตรวจชิ้นเนื้อตับ (Liver Biopsy) เพื่อดูระดับของพังผืดในตับ

การรักษาโรคตับแข็งจากการดื่มแอลกอฮอล์

ปัจจุบันโรคตับแข็งไม่สามารถรักษาให้กลับมาเป็นปกติได้ แต่สามารถชะลอการลุกลามของโรคและบรรเทาอาการได้ โดยแนวทางการรักษามีดังนี้:

  1. หยุดดื่มแอลกอฮอล์ทันที – เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่ช่วยลดความเสียหายของตับ
  2. ควบคุมอาหาร – หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูงและโซเดียมสูง ควรรับประทานโปรตีนในปริมาณที่เหมาะสม
  3. รับประทานยาตามแพทย์สั่ง – เช่น ยาขับปัสสาวะเพื่อลดอาการท้องมาน หรือยาลดความดันในเส้นเลือดดำพอร์ทัล
  4. การปลูกถ่ายตับ – เป็นทางเลือกสุดท้ายสำหรับผู้ป่วยที่ตับเสียหายอย่างรุนแรงและไม่สามารถฟื้นตัวได้

การป้องกันโรคตับแข็งจากแอลกอฮอล์

  • ลดหรือเลิกดื่มแอลกอฮอล์โดยสิ้นเชิง
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และสมดุล
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  • ตรวจสุขภาพตับเป็นประจำ โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติการดื่มหนัก

บทสรุป

โรคตับแข็งจากการดื่มแอลกอฮอล์เป็นภัยเงียบที่สามารถป้องกันได้ หากคุณหรือคนใกล้ตัวมีพฤติกรรมการดื่มที่เสี่ยง ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมก่อนที่จะสายเกินไป เพราะเมื่อโรคตับแข็งเกิดขึ้นแล้ว โอกาสในการฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติมีอยู่น้อยมาก การเลิกดื่มแอลกอฮอล์และดูแลสุขภาพเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในการป้องกันโรคนี้